วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประวัติวงดนตรี Scorpion

ประวัติวงดนตรี 
Scorpion 


สกอร์เปียนส์ (Scorpions) วงดนตรีแนวเฮฟวี่เมทัลแห่งเยอรมัน ก่อตั้งวงที่เมืองฮันโนเวอร์ในปีค.ศ. 1965โดย Rudolf Schenker วงสกอร์เปียนส์เป็นวงดนตรีที่มีจำนวนสมาชิกคงที่ พวกเขาเป็นที่รู้จักของผู้ฟังช่วงทศวรรษที่ 1980 ด้วยเพลง "Rock You Like a Hurricane"และซิงเกิ้ลจำนวนมากเช่น "No One Like You", "Send Me an Angel", "Still Loving You", และ"Wind of Change" วงสกอร์เปีนส์ได้ถูกจัดอันดับเป็นอันดับที่46จาก VH1 ให้เป็นวงร็อคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเพลง "Rock You Like a Hurricane" ถูกจัดอันดับเป็นอันดับที่ 18 ของเพลงร็อคที่ยอดเยี่ยมที่สุด เมื่อ 24 มกราคม 2010 หลังจาก 46ปีที่ทำงานในวงการดนตรี ก็ได้ประกาศอำลาวงการหลังจากมีการทัวร์อัลบั้มใหม่ของพวกเขาคือ Sting in the Tail และพวกเขามียอดขายอัลบั้ม 100ล้านแผ่นทั่วโลก ซึ่งแฟนเพลงในเมืองไทยได้ให้ฉายาว่า "ไอ้แมงป่องผยองเดช"

Rudolf Schenker มือกีตาร์ของวงเปิดตัวในปีค.ศ. 1965 แต่เขาไม่ใช่ตำแหน่งร้องนำ กิจกรรมต่างๆเริ่มขึ้นปี 1969 Michael Schenker น้องของ Rudolf SchenkerและKlaus Meine นักร้องนำของวงมาเข้าร่วมในปี1972 ปีนั้นได้เปิดตัวอัลบั้มแรกของวงคือ Lonesome Crow โดยได้ Lothar Heimberg มาเล่นเบส และ Wolfgang Dziony มาเป็นมือกลอง ในช่วง ใกล้จบโลนซัมโครวทัวร์ วงUFO ของประเทศอังกฤษได้ขอให้ Michael Schenker ไปเล่นกีตาร์ให้กับวง Ulrich Roth เพื่อนของ Michael Schenker จึงมาเล่นกีตาร์แทนเขาในปี 1973 และได้ Francis Buchholz มาเล่นเบส , Achim Kirschning มาเล่นคีย์บอร์ด และJürgen Rosenthal มาเล่นกลอง
ในปี 1974 สกอร์เปียนส์ออกอัลบั้ม Fly to the Rainbow ซึ่งประสบผลสำเร็จมากกว่าอัลบั้มแรก[1]และเพลง Speedy coming ทำให้วงมีชื่อเสียงขึ้น Achim Kirschning ตัดสินใจออกจากวง หลังจาก Jürgen Rosenthal เขาถูกเกณฑ์ทหารในกองทัพ ในปี 1975 เปิดตัวอัลบั้ม In Trance เป็นจุดเริ่มต้นของวงกับ Dierks Dieterโปรดิวเซอร์ของวงในระยะยาว ในปี 1976 เพลงเปิดตัวอัลบั้มVirgin Killerปกอัลบั้มที่โดดเด่น โดยใช้รูปการเปลือยกายของหญิงสาวในกระจกที่แตก ปกที่ถูกออกแบบโดย Stefan Bohle พวกเขาเป็นที่รู้จักจากผู้ฟังนอกทวีปยุโรปได้ด้วยอัลบั้มนี้ในปีต่อไป Lenners Rudy ลาออกด้วยเหตุผลส่วนตัวและถูกแทนที่โดย Herman Rarebell และมีอัลบั้มต่อมาคือ Taken by Force ในปี 1977 และในปี 1978 ก็ได้ออกอัลบั้มTokyo Tapes กับการลาออกของ Ulrich Roth และถูกแทนที่โดย Matthias Jabs
ในปี 1993ได้ออกอัลบั้ม Face the Heat ซึ่งประสบผลสำเร็จในระดับปานกลาง[2] ในปี 1995 อัลบั้มใหม่ Live Bites ก็ถูกผลิต ในระหว่างการทัวร์ Face the Heat ในปี1996 ก็ได้ออกอัลบั้ม Pure Instinct และมือกลอง Herman Rarebell ก็ลาออกจากวงและถูกแทนที่โดย James Kottak ซึ่งเปิดตัวด้วยเพลง "You and I" ได้รับความสำเร็จในระดับปานกลาง[3] ในปี 1999 ก็ปล่อยอัลบั้ม Eye II Eye แต่ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ[4] ในปี 2000 ก็ปล่อยอัลบั้ม Moment of Glory ซึ่งความนิยมของวงก็แผ่วลง ในปี 2001 สกอร์เปียนส์ได้ออกอัลบั้ม Acoustica ซึ่งนำความนิยมของวงกลับมาได้อย่างมาก ในปี 2004 ก็ออกอัลบั้ม Unbreakable ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงมากมาย ในปี 2007 ออกอัลบั้ม Humanity - Hour 1 ใช้เพลง"Humanity" เปิดตัวและการทัวร์
ในเดือนพฤศจิกายน 2009 Scorpions ประกาศว่าสตูดิโออัลบั้มที่ 17 ของพวกเขา Sting in the Tail เปิดตัวในปี 2010 ที่บันทึกไว้ในฮันโนเวอร์กับสวีเดนผลิตโดย Mikael"Nord"Andersson และ Martin Hansen Sting ปล่อยในวันที่ 23 มีนาคม 2010 เมื่อมกราคม 24, 2010, วงที่ประกาศว่า Sting in the Tail อัลบั้มชุดล่าสุดของพวกเขาและทัวร์สุดท้ายของพวกเขา คาดว่าจะจบในปี 2012 หรือ 2013 เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2010 Scorpions ได้ประทับรอยมือที่ HollywoodของRock Walk ในพิธี handprint ตามที่มือเบสของวง Scorpions Paweł Mąciwoda จะเข้าสู่สตูดิโอในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2011 ที่จะบันทึกอัลบั้มใหม่จุดเริ่มต้นนี้คือคอลเลกชันย้อนยุคคร่าวๆเนื่องจากการปล่อยในช่วงต้นปี 2012 คืออัลบ้มComeblack ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 7พฤศจิกายน 2011






















ประวัติวงดนตรี The Eagles

ประวัติวงดนตรี 
The Eagles


ดิ อีเกิลส์ ( The Eagles) เป็นวงอเมริกันร็อก ก่อตั้งวงในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ในช่วงต้นทศวรรษที่ 70 สมาชิกในปัจจุบันคือ เกลนน์ เฟรย์, ดอน เฮนลีย์, ทิโมธีบี ชมิท และโจ วอล์ช

เฟรย์ และ เฮนลีย์ ได้รับการว่าจ้างเป็นวงดนตรีแบ็คอัพของ ลินดา รอนสตัดท์ ในฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2514 ส่วน ไมส์เนอร์ และลีดัน ร่วมเป็นนักดนตรีแบ็คอัพในการทัวร์คอนเสิร์ตฤดูร้อน ของ ลินดา รอนสตัดท์เช่นกัน โดยทั้ง 4 เปิดแสดงโชว์เล็ก ๆ ร่วมกันครั้งนึง ที่ ดิสนีย์แลนด์
เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2514 ทั้ง เกลนน์ เฟรย์, ดอน เฮนลีย์, เบอร์นี่ ลีดอน และ แรนดี ไมส์เนอร์ เซ็นสัญญากับบริษัทแผ่นเสียง แอสไซลัม เรคคอร์ด หลังจากนั้นไม่นานจึงตั้งชื่อวงว่า ดิ อีเกิลส์ ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 บินไปอังกฤษและ ใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการบันทึกเสียงผลงานชุด The Eagles โดย กลีน จอห์นส์ ทำหน้าที่ควบคุมการผลิต และวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน มีเพลงดังอย่าง "Take It Easy" และ "Hotel California" เป็นต้น
ดิ อีเกิลส์ออกตระเวนทัวร์คอนเสิร์ตตลอดปี พ.ศ. 2515 จนกระทั่งถึงต้นปี พ.ศ. 2516 และบินไปอังกฤษอีกครั้งพร้อมกับ กลีน จอห์นส์ เพื่อบันทึกเสียงผลงานชุดที่ 2 Desperado ที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพวกนอกกฎหมาย และวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2516 มีเพลงดังอย่าง "Tequila Sunrise" และ "Desperado"
หลังจากนั้นพวกเขามารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อผลิตผลงานชุดที่ 3 กับ ผู้ควบคุมงานดนตรี กลีน จอห์นส์ ได้เกิดความขัดแย้งกันด้านแนวความคิด พวกเขาแยกกันทำงานภายหลังจากอัดเสียงไปได้เพียง 2 เพลงเท่านั้น คือ "You Never Cry Like a Lover" และ "The Best of My Love"
ภายหลังการทัวร์คอนเสิร์ตตอนต้นปี พ.ศ. 2517 โจ วอล์ชได้จ้างโปรดิวเซอร์ บิล ซิมซิค มาทำงานดนตรีที่เหลือทั้งหมดใน ผลงานชุด On the Border โดย บิล ได้นำ ดอน เฟลเดอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของ เบอร์นีย์ ลีดอน ทุกคนในวงประทับใจและยินดีที่ได้ร่วมงานกับสมาชิกใหม่ ผลงานชุด On the Boarder วางจำหน่ายในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2517 สามารถทำสถิติผลงานชุดที่ขายได้รวดเร็วที่สุดของดิ อีเกิลส์ และในเดือนเดียวกันนั้นเองผลงานซิงเกิลแรก "Already Gone" พุ่งเข้าสู่ท็อป 20 แต่บทเพลงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในผลงานชุดนี้และทำให้ ดิ อีเกิ้ลส์ และมีเพลงดังอันดับ 1 ในอเมริกาอย่าง "The Best of My Love"
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2518 ได้ออกผลงานชุดที่ 4 ชุด One of These Nights ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยสามารถคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำ ในเดือนเดียว และทะยานสู่อันดับหนึ่งในเดือนกรกฎาคม พร้อมกับ 3 ซิงเกิ้ลยอดนิยมที่ไต่อันดับเข้าสู่ 1 ใน 5 ไม่ว่าจะเป็น บทเพลงที่พุ่งสู่อันดับหนึ่ง อย่าง "One of These Nights", "Lyin' Eyes" และ "Take It to the Limit" โดยเพลง "Lyin' Eyes" ได้รับรางวัลแกรมมี ประจำปี 2518 สาขาการร้องเพลงป็อปยอดเยี่ยม โดยนักร้องกลุ่มหรือประสานเสียง นอกจากนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ผลงานชุดยอดเยี่ยมแห่งปี ส่วนซิงเกิ้ลเพลง "Lyin' Eyes" ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง รางวัลแผ่นเสียงยอดเยี่ยมแห่งปี
เบอร์นี่ย์ ลีดอน ลาออกจากวง และต่อมาได้รับ โจ วอล์ช เข้าร่วงวง และออกทัวร์คอนเสิร์ตด้วยกันในทันที และออกผลงานรวมฮิต ชุด อีเกิ้ลส์ : แดร์ เกรทเทสท์ ฮิตส์ 1971-1975 ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 โดยคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว จากยอดจำหน่ายกว่า 1 ล้านแผ่น
ผลงานชุดที่ 5 Hotel California ออกวางขายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2519 โดยคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ และขึ้นสู่อันดับหนึ่งในเดือนมกราคม พ.ศ. 2520 และต่อมาสามารถสร้างยอดจำหน่ายได้กว่า 10 ล้านแผ่น มีเพลงดัง "New Kid in Town" และ "Hotel California" ขึ้นอันดับหนึ่งในอเมริกา นอกจากนี้เพลง "Hotel California" ยังคว้ารางวัลแผ่นเสียงยอดเยี่ยมแห่งปี ในการประกาศ รางวัลแกรมมี่ ประจำปี พ.ศ. 2520
ต่อมาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2520 พวกเขาเริ่มออกทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลก โดยเริ่มต้นจากสหรัฐอเมริกาเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน แล้วไปยุโรปและตะวันออกไกลอีกหนึ่งเดือน และกลับมาในสหรัฐอเมริกาในเดือนพฤษภาคม เมื่อจบทัวร์ในเดือนกันยายน แรนดี้ ไมส์เนอร์ตัดสินใจลาออกจากวง โดยมีสมาชิกใหม่เข้ามาแทนที่ นั่นคือ ทิโมธี่ บี ชมิท
ดิ อีเกิลส์เริ่มต้นทำผลงานชุดใหม่ โดยใช้เวลานานเกือบหนึ่งปีครึ่ง The Long Run ออกจำหน่ายในเดือนกันยายน พ.ศ. 2522 อัลบั้มชุดนี้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งและได้รับรางวัลแผ่นทองคำขาวอยู่หลายแผ่น ส่วน Heartache Tonight ไต่ขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งในอเมริกา ส่วนเพลง "I Can't Tell You Why" สูงสุดที่อันดับ 8 และ "The Long Run" เข้าสู่อันดับ 8 บนอันดับของชาร์ทซิงเกิ้ลเช่นกัน นอกจากนี้เพลง "Heartache Tonight" ได้รับ รางวัลแกรมมี่อวอร์ด สาขาการร้องเพลงร็อกยอดเยี่ยมโดยนักร้องกลุ่มหรือประสานเสียง ในปี พ.ศ. 2522